สวัสดีจ้า

ข่าวสารสำหรับ IT วันนี้นะครับ ลองติดตามดูกันนะจ๊ะ


บรอดแบนด์ไร้สาย ประสบการณ์ดิจิตอลที่ต้องรอ




ผ่าทางตัน ลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เอกชนไทยเชื่อบรอดแบนด์ไร้สายทางออกของประเทศก้าวสู่เศรษฐกิจบรอดแบนด์เต็มตัว

ดัชนีวัดศักยภาพการแข่งขันของประเทศในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่า ประเทศใดมีจีดีพีสูงกว่ากันแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากวันนี้ การเข้าถึงบรอดแบนด์ของคนในประเทศกำลังกลายเป็นขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจใหม่ที่ทุกประเทศจะต้องให้ความสำคัญ

ดังจะเห็นได้จากการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชีย-แปซิฟิกที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย กลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่มีแถลงการณ์ว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อก้าวสู่เศรษฐกิจบรอดแบนด์ รวมทั้งแผนปฏิบัติการในการดำเนินการเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายต่างๆ

ครั้นมองกลับมาถึงเมืองไทย เมื่อตรวจดูถึงความพร้อมการก้าวสู่เศรษฐกิจบรอดแบนด์จะพบว่า ขณะนี้มีผู้ใช้คอมพิวเตอร์ประมาณ 17 ล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ประมาณ 11 ล้านคน และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 13.5 ล้านคนเมื่อถึงสิ้นปีนี้ คิดเป็น 21% ของประชากร

จากจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตดังกล่าว คาดว่าเป็นผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือบรอดแบนด์ประมาณ 3.7 ล้านราย ใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่เป็น Narrowband ประมาณ 1.3 ล้านราย ใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ผ่านเทคโนโลยี จีพีอาร์เอส 0.8 ล้านราย และใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนและพีดีเอโฟนอีกประมาณ 0.2 ล้านราย

ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่คณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลไทยกระตุ้นให้คนไทยสามารถเข้าถึงบรอดแบนด์ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ โดยวางเป็นนโยบายให้เติบโตมากขึ้นหรือเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากภาคการศึกษาจำเป็นต้องใช้บริการชนิดนี้ อย่างยิ่งเพราะอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาศักยภาพของนักศึกษาให้ทัดเทียมกับต่างชาติได้

"หากบรอดแบนด์มีการขยายตัวจะทำให้เกิดห่วงโซ่ทางธุรกิจอีกหลายชั้น เช่น การทำธุรกรรม บริการเว็บไซต์ การสร้างสังคมออนไลน์ และอื่นๆ"

ศุภชัย กล่าวว่า หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเกิดขึ้นเร็วมาก มีการพัฒนาเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตความเร็งสูงผ่านโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกหรือโครงข่ายใยแก้วนำแสง ทำให้อินเทอร์เน็ตมีบริการที่คุณภาพสูงขึ้นและให้บริการได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

ถึงแม้การเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ศุภชัยยังมองว่า หากเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้บรอดแบนด์กับจำนวนประชากรว่าในไทยยังถือว่าต่ำกว่าประเทศเวียดนาม ขณะที่จีนมีผู้ใช้ถึง 90 ล้านราย แซงสหรัฐอเมริกาที่มีผู้ใช้บรอดแบนด์อยู่ที่ 80 ล้านราย และถ้าจีนดำเนินการติดตั้งระบบ 3จี และ 4จี เสร็จภายใน 2 ปี จะทำให้การเข้าถึงบรอดแบนด์ขั้นพื้นฐานของจีนสูงมาก ส่วนเกาหลีมีผู้ใช้บรอดแบนด์สูงถึง 99%

ศุภชัย บอกอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้คนไทยเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงยังมีไม่มาก เป็นผลมาจากคนไทยยังมีคอมพิวเตอร์และโครงข่ายที่ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึง ดูได้จากโครงข่ายโทรศัพท์พื้นฐานมีการใช้งานทั้งหมดประมาณ 4 ล้านเลขหมาย จากจำนวนประชากร 19 ล้านครัวเรือน ส่วนโทรศัพท์มือถือที่มีการใช้จีพีอาร์เอส ก็มีแค่หลักแสนเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนไทยยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในวงกว้างได้

"หากมีการลงทุนด้านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถเสริมสร้างผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพีได้กว่า 1.38% และถ้าคนไทยมีการเข้าถึงบริการได้ ภายใน 5 ปีจะมีเม็ดเงินในตลาดนี้สูงถึง 8 แสนล้านบาท"

แหล่งข่าวที่คลุกคลีในวงการโทรคมนาคมท่านหนึ่งมองว่า บรอดแบนด์ไร้สายผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3จี มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้คนไทยตามส่วนต่างๆ ของประเทศ มีโอกาสเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว เร็วกว่าการลงทุนโครงข่ายบนพื้นดินซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สูงมาก ถึงแม้จะเป็นโครงข่ายที่มีเสถียรภาพมากกว่าก็ตาม

ความตื่นตัวในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มแพร่หลายมากขึ้น ภายหลังจากที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ลงทุนอัปเกรดเทคโนโลยีการส่งข้อมูลให้มีความเร็วที่สูงขึ้น ดังจะเห็นได้จากยอดจำหน่าย "เน็ตซิม" ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งเป็นซิมพิเศษที่ทางเอไอเอสทำขึ้นมาเพื่อใช้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยในช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา เอไอเอสสามารถจำหน่ายเน็ตซิมเพิ่มขึ้นถึง 147% เป็น 200,000 ราย

วิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เคยเล่าให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีเครือข่ายมือถือ 3จี ว่า สมมติถ้าเรามี 3จี ใช้จริงๆ ในแง่วงการโทรคมนาคมจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของการใช้งาน คนไทยก็จะมีทางเลือกในการเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้เร็วขึ้น มากขึ้น ไม่ต้องอาศัยโครงข่ายมีสายอีกต่อไป การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนในชนบทจะดีขึ้น การส่งข้อมูลไร้สายจะรวดเร็วขึ้นมาก

ศุภชัย กล่าวว่า อุตสาหกรรมสื่อสารจะขยับตามภาวะเศรษฐกิจ ถ้า 3จี ไม่เกิด อุตสาหกรรมนี้จะไม่โต แต่ถ้าเทคโนโลยีนี้เกิดจะทำให้เกิดมิติใหม่ของอุตสาหกรรมเพราะจะทำให้คนไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมากขึ้น

นอกจากนี้ รัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันเพื่อประยุกต์เรื่องของเทคโนโลยีกับโนว์ฮาวเข้าด้วยกัน แล้วให้เอกชนเป็นผู้ผลักดัน ขณะเดียวกัน หากภาครัฐให้การสนับสนุนเรื่องโน้ตบุ๊กก็จะทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการใช้แบนด์วิธเกิดขึ้นจำนวนมหาศาล

"อุตสาหกรรมสื่อสารไทยมีอะไรให้ทำอีกมาก แต่ภาครัฐต้องมีความชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรจะให้บรอดแบนด์เข้าถึงผู้บริโภค ถ้าเร่งเรื่องพวกนี้ได้จะทำให้สังคมไทยมีความยั่งยืนได้ ตอนนี้ต้องเร่งลงทุนโครงข่าย 3จี เพื่อเตรียมรับ 4จี ในอนาคตอันใกล้ ถ้าไม่มี 3จี เกิดขึ้นเอกชนก็รอได้ แต่ประเทศรอไม่ได้"

แอลจีรุกหนักสมาร์ทโฟนปี53รับตลาดแข่งดุ



แอลจี ประกาศลุยหนักตลาดสมาร์ทโฟนปี 2553 เตรียมนำเข้ากว่า 20 รุ่น ครอบคลุม ส่งแอนดรอยด์รุ่นแรกบุกไทยต้นปี, มือถือ 3จี ราคาเริ่มต้น 4,900 บาท ล่าสุดเปิดตัว "ช็อคโกแล็ต" ซีรีส์ใหม่ 2 รุ่น ชูดีไซน์เก๋ ระบบสัมผัส จอไวด์สกรีน 4 นิ้ว

นายสมศักดิ์ อธิศัยตระกูล ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์โทรศัพท์มือถือ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายปี 2553 ของกลุ่มธุรกิจมือถือแอลจี จะหันมารุกตลาดสมาร์ทโฟนอย่างจริงจัง รองรับการแข่งขันในตลาดนี้ที่คาดว่าจะสูงมาก ทั้งยังรองรับเทคโนโลยี 3จี ซึ่งจะทำให้ตลาดมือถือโดยภาพรวมกลับมาคึกคักเพิ่ม

ทั้งนี้ ปีหน้าบริษัทเตรียมส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ลงตลาดไม่ต่ำกว่า 20 รุ่น โดยกว่า 10 รุ่นจะเป็นแอนดรอยด์ และวินโดว์ส โฟนที่เหลือจะเป็นระบบปฏิบัติการของแอลจีเอง

ปัจจุบัน ตลาดสมาร์ทโฟนในระดับราคาตั้งแต่ 12,000 บาทขึ้นไป แอลจีมีส่วนแบ่ง 7-10%

ขณะที่ คาดว่าตลาดสมาร์ทโฟนปีหน้าจะขยายตัวถึง 100% โดยยังเป็นปีที่ผู้บริโภคอัพเกรดโทรศัพท์ที่ใช้อยู่เป็นสมาร์ทโฟนมากขึ้น และราวปลายเดือน ม.ค. ปีหน้า แอลจีจะนำเข้าแอนดรอยด์รุ่นแรกเข้ามาทำตลาดในไทยด้วย

นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า บริษัทยังเตรียมนำเข้ามือถือ 3จี ระดับราคาเริ่มต้น 4,900 บาท เข้ามาทำตลาดไทยเป็นครั้งแรกด้วย โดยก่อนหน้านี้มือถือ 3จี ของแอลจี ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ 8,900 บาท

ล่าสุด แอลจีได้เปิดตัวมือถือในตระกูลช็อคโกแล็ตใหม่ 2 รุ่น ได้แก่ แอลจี นิว ช็อคโกแล็ต บีแอล 40 ทัชโฟน และแอลจี นิว ช็อคโกแล็ต บีแอล 20วี โดยเป็นพรีเมียมโฟน ชูจุดเด่นหน้าจอไวด์ 4 นิ้ว รองรับการดูภาพยนตร์ไฮเดฟินิชั่น ราคา 19,000 บาท และรุ่นสำหรับเจาะตลาดระดับกลาง เป็นสไลด์โฟน ราคา 8,900 บาท ตามลำดับ

ทั้งนี้ ตลาดเป้าหมายของมือถือรุ่นช็อคโกแล็ต จะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบเครื่องที่มีดีไซน์ นับจากการเปิดตัวมามียอดขายทั่วโลกแล้วมากกว่า 21 ล้านเครื่อง

นายสมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของแอพ สโตร์ ของแอลจี ที่เปิดให้บริการดาวน์โหลดคอนเทนท์ต่างๆ ขณะนี้ ไทยถือว่า เป็นประเทศที่มีการดาวน์โหลดสูง คิดเป็น 10% ของการดาวน์โหลดจากคนใช้มือถือแอลจี บนแอลจี แอพ สโตร์ทั่วโลก

อัสซุสวางเน็ตบุ๊กเกาะกระแส 3G


อัสซุสหวังเกาะโอเปอเรเตอร์มือถือทำตลาดเน็ตบุ๊กคู่ระบบ 3G เชื่อจะช่วยกระตุ้นรายได้เพิ่ม แต่ในไทยต้องรอ 3G ความถี่มาตรฐานเกิด ล่าสุดส่งอีพีซี 1201ที อัลตราธิน ซีพียู หลังทิศทางตลาดเริ่มชัดเจน

นายพรเทพ วัชรอำนวย กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทแม่ที่ไต้หวันได้วางโมเดลธุรกิจเน็ตบุ๊กที่จะรองรับระบบ 3G โดยตั้งทีมขึ้นมาเพื่อประสานความร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์มือถือในการนำเสนอสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้าอย่างในญี่ปุ่นหรือยุโรปจะเป็นลักษณะของการให้เครื่องฟรีกรณีที่ลูกค้าจ่ายค่าบริการรายเดือน ซึ่งคล้ายกับการทำตลาดของไอโฟน

สำหรับประเทศไทยต้องรอความชัดเจนของการประมูลใบอนุญาตที่จะให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการก่อน และเชื่อว่าภายในกลางปีหน้าน่าจะเห็นความชัดเจนในเรื่องนี้

“ตอนนี้ยังเป็นคอขวดที่ต้องใส่ฟีเจอร์รองรับกับย่านความถี่ อย่างที่เราร่วมมือกับเอไอเอส ที่ต้องทำให้เครื่องรองรับ 2.5G หรือ HSPA แต่ยังไม่ใช่ความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์ ที่เป็น 3G สากล”

ทั้งนี้ อัสซุสเริ่มมีการเจรจากับโอเปอเรเตอร์มือถือไม่ว่าจะเป็นเอไอเอส ดีแทค หรือทรูมูฟ ในการทำตลาดในลักษณะโปรเจกต์และการทำตลาดเน็ตบุ๊กทั่วไปซึ่งเชื่อว่าจะทำให้รายได้เน็ตบุ๊กเพิ่มขึ้นจากปกติที่มีอยู่ประมาณ 15-20% ของรายได้รวมอัสซุส ส่วนภาพรวมของตลาดเน็ตบุ๊กเชื่อว่ายังจะเติบโตต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคเริ่มรู้แล้วว่าจะต้องใช้งานอย่างไร รวมถึงราคาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

“ปี 08 ตลาดยังสวิงอยู่เพราะไม่รู้ว่าผู้บริโภคต้องการซื้อเน็ตบุ๊ก หรือเป็นความเห่อสิ่งใหม่ เพราะบางครั้งเครื่องก็ขาดตลาด บางครั้งก็เหลือ แต่พอถึงปีนี้ผู้ใช้เริ่มรู้แล้วว่าจะใช้งานอย่างไร”

อัสซุสยังได้นำอีพีซี รุ่น 1201ที ที่มากับซีพียูชิปเซ็ตของเอเอ็มดีออกสู่ตลาด เน็ตบุ๊กดังกล่าวเป็นการผสาน 2 ประสิทธิภาพร่วมกัน มีขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น คือขนาด 12 นิ้ว บวกกับประสิทธิภาพของเอเอ็มดี คองโก เอ็มวี40 อัลตราธิน ซีพียู ที่กินไฟน้อย แต่ทำงานได้เร็วขึ้น และระบบมัลติมีเดียในราคา 15,900 บาท และเชื่อว่าคุณสมบัติดังกล่าวจะช่วยสร้างให้ตลาดเน็ตบุ๊กกลับมาคึกคักอีกครั้ง สำหรับเน็ตบุ๊กรุ่นนี้มีกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มคนทำงาน

นายพรเทพกล่าวว่า การทำตลาดของอัสซุสยังเน้นในเรื่องนวัตกรรมเป็นหลัก ส่วนกำลังการซื้อเน็ตบุ๊กโดยรวมสำหรับตลาดกลางถึงบนที่ผ่านมามีอัตราการโตประมาณ 15-20% โดยราคาอยู่ที่ 1.5-2 หมื่นบาท ทั้งนี้ ถ้าคิดเป็นสัดส่วนยอดขายของเน็ตบุ๊กเมื่อเทียบกับตลาดโน้ตบุ๊กอยู่ที่ 7-8%

“ขณะนี้เน็ตบุ๊กต่างจากอดีต เพราะมีความเป็นมัลติมีเดีย สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากขึ้น”

ซีเกทผุดฮาร์ดดิสก์ 2.5" บางที่สุดในโลก

[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงานข่าวล่าสุด ซีเกท (Seagate) แนะนำสายผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้วสำหรับใช้ในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากฮาร์ดดิสก์ของผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็คือ มันได้รับการพัฒนาให้มีความบางเป็นพิเศษ Momentus ฮาร์ดดิสก์ 2.5 นิ้วจะมีความบางแค่ 7 มม.เท่านั้น ซึ่งหากเทียบกับฮาร์ดดิสก์ทั่วไป (9.5 มม.) มันบางกว่าถึง 25% เลยทีเดียว Dave Mosley ตัวแทนของซีเกทกล่าวว่า Momentus Thin จะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่เน้นความบาง "คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊กวันนี้ กว่า 90% จะมาพร้อมกับฮาร์ดดิสก์ 2.5 นิ้วทีมีความหนา 9.5 มม. เนื่องจาก SSD ขนาด 1.8 นิ้วที่มีความบางกว่า แต่ก็มีราคาที่ค่อนข้างแพง การพัฒนาฮาร์ดดิสก์ที่มีความบางเป็นพิเศษก็เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์สามารถออกแบบโน้ตบุ๊ก และเน็ตบุ๊กทีมีความบางในระดับราคาที่ไม่แพงได้"



Momentus Thin จะมีให้เลือกใช้สองขนาดด้วยกันคือ 250GB และ 160GB โดยมาพร้อมกับหน่วยความจำแคช 8MB และมีอินเตอร์เฟซเป็น Serial ATA 3Gb/second ส่วนความเร็วรอบของการหมุนจานดิสก์จะอยู่ที่ 5400RPM ทั้งนี้ทางซีเกทได้กำหนดการส่งมอบฮาร์ดดิสก์ให้กับคู่ค้า และผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เดือนมกราคม 2010